World cup 2014

Posted: July 13, 2014 in Uncategorized

ฟุตบอลโลก

 

วันที่เขียนบล็อกนี้อยู่เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศระหว่างเยอรมัน กับ อาร์เจนตินาครับ จริง ๆ แล้วเป็นฅนที่ไม่ได้สนใจฟุตบอลเป็นเรื่องเป็นราวอะไร ถ้ามีคู่ไหนดัง ๆ (ทั้งบอลโลก หรือบอลลีก) ก็ดูบ้างถ้ามีเวลาว่างพอดี แล้วก็ไม่ได้เชียร์ทีมไหนเป็นพิเศษ

 

บอลโลกครั้งแรกที่ดู ก็น่าจะปี 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ จำได้ว่าวันนั้นนั่งทำโปรเจคท์ของวิชาเคมีอยู่จนถึงเกือบเช้า ก็เลยได้เปิดทีวีไปด้วยนั่งดูไปด้วย เป็นคู่เปิดสนามบราซิลกับทีมอะไรก็จำไม่ค่อยได้แล้ว หลังจากนั้นปีถัด ๆ มาก็ได้ดูประปราย ข้อสังเกตตั้งแต่ดูบอลแบบงู ๆ ปลา ๆ ของผมเป็นแบบนี้ครับ

 

–          เนื่องจากได้ดูบอลห่าง ๆ ไม่ได้ติดตามมาโดยตลอดบ้าง แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อนกับปัจจุบัน รูปแบบการทำประตูดูจะเปลี่ยนไปมาก เมื่อสมัย 1998 ผมจำได้ว่า ประตูที่มักจะทำได้เกิดจากลูกสวนกลับเป็นหลัก เวลาบุกตามปกติแล้วมีกองหลังประกบแน่น ๆ อยู่หน้าประตูนี่ แทบไม่ต้องลุ้นเลย คือยังไงก็ไม่มีประตูแน่ ในขณะที่ลูกตั้งเตะก็ดูเหมือนจะไม่ได้อันตรายเหมือนในสมัยนี้ ในขณะที่ปีนี้ เท่าที่ดู ผมรู้สึกว่าลูกตั้งเตะจะเป็นลูกที่อันตราย ทำประตูได้บ่อยครั้งจากลูกเตะมุม ในขณะที่ลูกสวนกลับไม่ค่อยเห็น หรือมีก็ทำประตูกันไม่ค่อยได้

 

–          เวลาดูบอลฅนมักจะถามเสมอ ๆ ว่าเชียร์ทีมไหน จริง ๆ แล้วช่วงบอลโลก 3-4 รอบหลังมานี่ ทีมที่รู้สึกว่าอยากจะดูก็มีแค่ 3 ทีม คืออังกฤษ เยอรมัน แล้วก็บราซิล อังกฤษนี่ที่ดูก็เพราะว่าพอคุ้นชื่อนักเตะบ้าง (ตั้งแต่สมัยเบ็คแฮม โอเวน) แต่ถ้าคิดจะเชียร์ก็ต้องทำใจหน่อยเพราะว่าเป็นทีมที่เชียร์ไม่ขึ้นเอาเสียเลย ต้องทำใจพอ ๆ กับเชียร์ลิเวอร์พูลเลยล่ะ (ฮา)

 

–          ส่วนบราซิลนี่อยากดูเพราะชื่อชั้นล้วน ๆ แล้วก็นักเตะดัง ๆ มาก เท่าที่สังเกต ถ้าเป็นนักดูบอลเมื่อ 20-30 ปีก่อน ก็มักจะมีบราซิลในดวงใจ เท่าที่เคยอ่าน สมัยก่อนบราซิลจะเล่นบอลสวยงาม มีความคิดสร้างสรรค์มาก ความสามารถเฉพาะตัวดี แล้วก็มีความเป็นศิลปินสูง แต่เท่าที่ผมดูมาในรุ่นผม ก็รู้สึกเฉย ๆ นะ ดูแล้วการเล่นก็ไม่ได้แตกต่างจากทีมอื่นเท่าไหร่ ได้บอลมาแล้วก็ต่อบอลไป ดูไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะมีลูกเล่นมากขนาดนั้น

 

–          แต่ที่ตรงกันข้ามก็คือทีมเยอรมัน ซึ่งสองสามหนหลังก็รู้สึกว่าเป็นทีมที่ดูสนุก (และเชียร์ขึ้นเสียด้วย) ทีมนี้แฟนบอลรุ่นเก่า ๆ บางฅนไม่ชอบเลย บอกว่าเล่นเหมือนหุ่นยนต์ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าการเล่นที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีข้อผิดพลาด มันก็มีความสวยงามที่น่าดูเหมือนกลไกที่ทำงานได้เป๊ะ ๆ เหมือนกัน อย่างเวลามีวิเคราะห์พักครึ่ง เทปรีรันที่ให้ดูการเล่นของทีมเยอรมันที่กระจายตัวผู้เล่นครอบคลุม และเว้นเป๊ะ ๆ ช่องไฟเท่ากันหมดก็ทำให้ผมคิดว่าน่าทึ่งนะครับ และรูปแบบของการบุกก็มีลักษณะเป็นทีมสูง

 

–          ดูเหมือนฟุตบอลโลกปีนี้ จะเป็นปีที่การเล่นเป็นทีมดูจะข่มความเป็นดาราของนักฟุตบอล ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณเป็นดาราดัง ทีมฝั่งตรงข้ามก็จะประกบอย่างเหนี่ยวแน่น อย่างน้อยก็สองฅนประกบล่ะ หรือยิ่งกว่านั้นบางทีก็สามฅนด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าโดนประกบเหนี่ยวแน่นขนาดนั้น ก็ไม่แปลกอะไรว่าต่อให้เก่งขนาดไหนก็เล่นไม่ออก

 

–          สมัยที่ไปทำแล็บที่อเมริกา ก็พบว่าที่นู่นเขาก็เชียร์บอลอยู่นะ (อาจจะเป็นเพราะว่าอเมริกาเข้ารอบสุดท้ายด้วย) มีการนัดกันไปดูตามบ้าน รวมไปถึงเปิดจอยักษ์ให้เชียร์ตามสถานที่ต่าง ๆ แต่โดยรวมแล้ว ผมก็คิดว่าอเมริกันฟุตบอล กับบาสเก็ตบอลยังมีชื่อโด่งดังมากกว่าฟุตบอลเยอะ

 

–          ทีนี้ความสนุกของการดูบอลนี่ ส่วนใหญ่เวลาดูไฮไลท์ก็มักจะดูตอนยิงประตูกัน แต่สำหรับผมแล้ว ส่วนที่เขาตัดมารีรันให้ดูก็จะไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ เพราะช่วงยิงประตูมักเป็นช่วงที่การป้องกันอ่อนแอ หรือโดนเจาะเข้าไปแล้ว ที่ผมสนใจมากกว่าก็คือว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น จึงการทำให้การป้องกันโดนทะลุเจาะไปได้นะครับ เพราะฉะนั้นถ้าได้ดูเต็ม ๆ ก็จะชอบมากกว่าดูแค่ช่วงยิงประตูนะครับ

 

–          ส่วนความสนุกอีกอย่างสำหรับผมก็คือการดูการโต้กันไปโต้กันมา อย่างผมเองเวลาเล่นกีฬาก็จะเล่นเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาดูบอล ก็จะชอบดูว่าแต่ละฝ่ายตั้งรับอย่างไร ซึ่งหลาย ๆ หนก็จะมีความเห็นแตกต่างจากฅนที่พากษ์บอลเหมือนกัน เช่น ทีมนี้ใช้วิธีตั้งรับแบบคุมโซน ไม่เน้นการเข้าประกบผู้เล่นแบบเดี่ยว ๆ เพราะฉะนั้น ก็อาจจะเห็นทีมตรงข้ามเลี้ยงบอลเข้ามาอยู่ในบริเวณกรอบหน้าแบบหวาดเสียว ซึ่งฅนพากษ์ก็มักจะบอกว่าฝ่ายรับป้องกันได้ไม่ดี ทำให้ถูกบุกเข้ามาได้ แต่ผมดูแล้วก็จะคิดว่า ถึงฝ่ายครองบอลจะเลี้ยงจี้เข้ามา แต่ก็โดนบังทางหมด และไม่มีช่องส่งบอลต่อได้เลย สุดท้ายก็คงจะเสียบอลและโดนสวนกลับอยู่ดี เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะไม่มีการทำประตูเกิดขึ้น แต่ลักษณะของการป้องกันแบบที่เราดูแล้วพอจะทำนายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ทำให้ดูสนุกไปตลอดทั้งเกมเหมือนกันนะครับ (ส่วนบอลที่ดูไม่สนุกสำหรับผม คือบอลที่อยู่แต่กลางสนาม โดนตัดกันไปตัดกันมา หรือผิดพลาดเอง ไม่มีโอกาสได้เห็นกึ๋นของทั้งฝ่ายรุกและฝ่ายรับเท่าไหร่)

 

–          แต่จริง ๆ แล้ว การจะเชียร์บอลก็อาจจะไม่จำเป็นต้องรู้จักนักบอลมาก่อนก็ได้ครับ ยังปีนี้เอง เนื่องจากเวลามันไม่ดึกมาก ผมก็ได้มีโอกาสดูหลาย ๆ คู่ที่ไม่เคยดูมาก่อน พอดูไป ก็จะมีนักเตะที่เล่นแล้วสะดุดตา ขยัน หรือมีความสามารถที่น่าสนใจ จนดูจบแล้วเราก็จำทีมนี้ได้ และครั้งหน้าก็อาจจะเชียร์ต่อแม้จะได้ดูแค่ครั้งเดียวก็ตาม อย่างตอนนี้ก็ชอบดูอาร์เจนตินา ดูเมสซี่ที่เป็นมือหนึ่งของโลก ซึ่งถึงแม้จะมีฅนบอกว่าไม่สามารถโชว์ฟอร์มสุดยอดได้เหมือนฟุตบอลลีค แต่ผมดูแล้วก็รู้สึกเก่งมากนะ เวลาได้บอลมาทีไรก็หลอกล่อฅนที่เข้ามาประกบได้เป๋อยู่เรื่อย ๆ (แม้กระทั่งจะโดนซ้อนสองถึงสามฅนตลอด) และจ่ายบอลได้คมมาก คือถ้าไม่หวังว่าจะต้องเห็นการทำประตูสวย ๆ ได้ดูส่วนอื่น ๆ ของเกมบ้างก็สนุกดีใช้ได้ครับ

 

–          เรื่องสุดท้ายก็เป็นเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการเล่นฟุตบอลนะครับ อย่างสาว ๆ ก็จะชี้ชวนกันดูว่านักฟุตบอลฅนไหนหน้าตาเป็นอย่างไร บางฅนก็อาจจะสนเรื่องแฟชั่น การแต่งกาย อย่างผมเองก็จะรู้สึกว่าทำไมชุดนักฟุตบอลมันไม่รัดรูปไปหน่อยหรือ(วะ) แล้วรองเท้าฟุตบอลที่ข้างละสีนี่มันกำลังเป็นแฟชั่นตอนนี้จริงหรือ แต่ที่น่าสนใจคือวันก่อนไปตัดผม ช่างตัดผมก็คุยกันเรื่องบอลโลกนี่แหละ แต่แทนที่จะคุยกันว่านักเตะฅนไหนมีฝีมือเป็นอย่างไร กลับคุยกันว่าทรงผมนักเตะฅนไหนเป็นยังไงนะฮะเนี่ย (แต่ก็เหมาะกับอาชีพเขาดีนะ) ซึ่งผมเองก็คิดว่า ไอ้ทรงไถเกรียนขึ้นไปแล้วเหลือแค่ผมยาว ๆ ข้างบนนี่ มันก็ดูเป็นแฟชั่นของเด็กแว้นบ้านเราเหมือนกันแฮะ

 

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปีนี้ใครจะเป็นแชมป์ แต่่ก็หวังว่าสักวันฅนไทยคงได้เชียร์บอลไทยในศึกฟุตบอลโลกเสียทีนะ

เมื่อสามสัปดาห์ก่อนได้ไปดูละครเวทีเลือดขัตติยามานะครับ

อาจจะช้าไปสักหน่อยที่เขียนถึงในวันนี้ แต่คิดว่ามีอะไรน่าสนใจ

จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ไปดูละครเวทีนานแล้ว เรื่องล่าสุดที่ไปดูน่าจะเป็นของนิเทศจุฬาสองปีก่อน (มั้ง) ครั้งนี้เพื่อนในกลุ่มชวน ก็เลยไปดูด้วยกันสี่ฅน โชคดีมากที่เป็นวันที่สอบเสร็จพอดี

ประเด็นที่คิดว่าน่าสนใจหลังจากดูจบ

– การดำเนินเรื่อง
ช่วงแรก ๆ ทีเปิดตัวออกมา นางเอก-พระเอก (ตอนเด็ก) บทสนทนาจะพูดเร็วมากครับ ฟังไม่ค่อยจะทัน (หรือจริง ๆ ตรูแก่แล้วฟระ) แล้วก็รู้สึกว่าตัวละครจะพูดค่อนข้างเร็ว จนครึ่งหลังนั่นแหละถึงจะฟังรู้เรื่อง (หรือว่าจะชิน?)
ที่รู้สึกได้อีกอย่าง (ตั้งแต่ตอนดูบัลลังก์เมฆแล้วมั้ง) อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นนิยาย (หรือบทละครโทรทัศน์) มาก่อน ซึ่งมีหลายฉากหลายเหตุการณ์เยอะมาก ๆ จนไม่สามารถใส่ทุกอย่างเข้ามาอย่างละเอียดได้ภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง ทำให้ฉากช่วงแรก ๆ ดูเหมือนกับว่าเป็นฉากที่ใส่มาเพื่อให้ฅนดูเข้าใจเนื้อเรื่องเฉย ๆ คือใส่มาผ่าน ๆ เร็ว ๆ (และเวลาดูอาจจะต้องมีสมาธิสักหน่อย) แต่ไม่ได้ลงไปในรายละเอียด หรือใช้เวลากับมันจนฅนดูมีอารมณ์ร่วม (เช่นฉากตอนพระเอกรู้ความจริงว่านางเอกเป็นเจ้าหญิง เราก็เลยไม่ค่อยอินหรือรู้สึกเห็นใจเท่าไหร่) แต่พอช่วงครึ่งหลัง ก็ค่อนข้างจะรู้สึกได้ว่า ผู้กำกับใช้เวลาในฉากสะเทือนอารมณ์นานขึ้น ตัวละครพูดช้าลงมาก เลยทำให้บิวท์อารมณ์ได้ดีขึ้นกว่าเดิม (ซึ่งจริง ๆ ละครเวทีเมื่อเทียบกับภาพยนตร์ก็ดูจะถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้ยากกว่าอยู่แล้วน่ะนะครับ)

-เสื้อผ้า
เป็นอีกองค์ประกอบซึ่งรู้สึกว่าอลังการงานสร้างมาก อ่านในเล่มที่แจก เหมือนกับพยายามจะออกแบบให้ไม่ได้มีลักษณะเด่นเฉพาะของประเทศไหนเป็นพิเศษ (คือดูกลืน ๆ กันไป) ซึ่งเสื้อผ้าของแต่ละประเทศ ก็พยายามสื่อของสีออกมาได้ดี (เช่นประเทศที่เป็นนักรบสีก็จะดุดัน ประเทศพระเอกนางเอกซึ่งสงบสุขกว่าสีก็จะดูนวล ๆ) ซึ่งผมคิดว่าความยากก็คือการทำให้เสื้อแนว ๆ แฟนตาซีแบบนี้ออกมาดูอลังการโดยไม่ล้นเกินความพอดี (คือส่วนตัวไม่ใช่ฅนเก่งเรื่องเสื้อผ้าและดีไซน์ แต่คิดว่าชุดของการแสดงที่ไปดูก็สวยดี) ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือในเล่มรายละเอียดบอกว่าตัวนางเอกจะปักดิ้นวาว ๆ ไว้ ให้พอดูเด่น (ซึ่งพอสังเกตมันก็เด่นจริง ๆ เมื่อเทียบกับตัวละครอื่น ๆ บนเวที และใส่ชุดสีเหมือน ๆ กัน) ซึ่งจริง ๆ ถ้าใช้มากกว่าไปกว่านี้ก็จะทำให้นึกถึงลิเกแล้ว (แต่ลิเกสีของเสื้อผ้าก็จะฉูดฉาดมากกว่านี้น่ะนะครับ)

– เพลง
ด้วยความที่เป็นมิวสิคัล เลยทำให้เนื้อเรื่องเกือบทั้งหมดเดินไปได้ด้วยเพลง แต่จริง ๆ ผมยอมรับว่า ผมฟังเนื้อเพลงไม่ค่อยรู้เรื่อง คือฟังไม่ออกว่าตัวละครมันร้องเพลงว่าอะไร (วะ) แล้วก็ยอมรับว่าข้อจำกัดของภาษาไทยก็คือเรื่องเสียงสูงเสียงต่ำนี่แหละ ที่พอมาใส่ดนตรีและทำนอง มันทำให้ฟังยากมากเวลาออกเสียงแต่ละคำ (ซึ่งจริง ๆ ระบบเสียงเขาก็โอเคน่ะนะครับ) ช่วงแรก ๆ ผมจะเสียสมาธิไปกับการพยายามฟังเนื้อร้องมากว่ามันว่าอย่างไร แต่พอหลัง ๆ ก็เริ่มปล่อยวาง (ฮา) คือฟังแค่พอให้รู้เนื้อหาคร่าว ๆ ว่ามันอารมณ์ประมาณไหน (เช่นด่ากัน ปลอบกัน หรือให้กำลังใจกัน) แล้วก็ไปเพลิดเพลินเอากับทำนองแทน (ก็ได้วะ)

ส่วนเรื่องความสามารถในการร้องเพลง อันนี้ส่วนตัวคิดว่าคู่พระคู่นางก็พอผ่าน บางช่วงอาจจะดูแปร่ง ๆ หรือลมไม่ค่อยพอบ้าง แต่ผมว่าก็เอาตัวรอดได้ หลาย ๆ เพลงก็น่าสนใจ เช่นเพลงที่ชอบมากคือตอนแม่นางเอกให้กำลังใจนางเอก หรือตอนแม่นางเอกร้องโต้กับแม่ตัวร้ายเรื่องวิธีเลี้ยงลูก ก็ทำออกมาได้ดูคูลดี

– เนื้อเรื่อง
ในส่วนของพัฒนาการตัวละคร จริง ๆ แล้วเนื่องจากรวบเนื้อเรื่องมาในสามสี่ชั่วโมง ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้กำกับ (กับฅนเขียนบท) จะเน้นไปที่แง่มุมไหนของตัวละคร เพราะมันก็มีปมหลายอย่าง ส่วนตัวที่ค่อนข้างขัดใจคือนางเอก ซึ่งเราก็คาดหวังว่าจะเห็นแง่มุมที่แสดงความฉลาดปราดเปรื่องหรือความเป็นเลือดขัดติยาออกมาบ้าง (เพราะในเนื้อเรื่องเป็นราชินีหญิง ต้องมีความเป็นผู้นำสูง) แต่ในละครเวทีนี้ พอทำออกมากลายเป็นว่านางเอกสนแต่เรื่องความรัก ตามง้อผู้ชายตลอดจนดูไม่สื่อถึงความรับผิดชอบในบ้านเมืองเท่าไหร่ (กลายเป็นว่าภาพลักษณ์หน้าที่มาก่อนความรักไปตกอยู่กับพระเอกแทน) พอปูมาแบบนี้ บทช่วงส่งที่นางเอกกล่าวสุนทรพจน์เพื่อแข่งขันให้ตัวเองได้รับเลือกก็เลยไม่ค่อยพีคเท่าไหร่ (จริง ๆ เพลงมันก็ไม่ส่งด้วยแหละ กล่าวถึงอะไรที่นามธรรมมาก ๆ)
อีกอย่างที่ด้วยความที่เป็นลักษณวดี ซึ่งมีความเป็นลิเกแฟนตาซีสูง (ในภาษาของคุณทมยันตี สำหรับนามปากกานี้) ทำให้ชื่อตัวละครจะไปพาดพิงกับ อาทิตย์ (พระเอก) ดาว (นางเอก) พระจันทร์ (ตัวร้าย) ตลอด เพลงมันก็เลยออกมาเป็นเชิง เปรียบเปรยตลอดเวลา (เช่นพระอาทิตย์ไม่สามารถขึ้นพร้อมดาวได้ หรือ พระจันทร์ดวงนี้จะฉายแสงกลบดาวเอง) ซึ่งพอประมาณนึงมันก็โอเคนะ ดูฉลาดดี แต่พอแทบทุกเพลงมันลากเข้าพระอาทิตย์พระจันทร์ ดาวอังคารพลูโตอะไรหมดนี่ สำหรับผมมันก็รู้สึกว่าเฝือไปสักหน่อย
แต่สุดท้าย ตัวพล็อตเองก็หักได้น่าสนใจ ขยี้ใจฅนดูมาก (สำหรับฅนที่เคยดูมาแล้ว ก็น่าจะรู้ว่าสุดท้ายพระเอกยอมเสียสละเพื่อส่งให้นางเอกกลายเป็นราชีนีที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุด) อาจจะเป็นโชคดีที่ไม่เคยรู้เนื้อเรื่องมาก่อน ทำให้พอดูจบก็รู้สึกสะเทือนใจกับการไฝว้กันระหว่างหน้าที่ กับความรัก (คือถ้ารู้ตอนจบมาก่อนคงไม่อินขนาดนี้) ก็ต้องยอมรับว่า พล็อตดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริง ๆ การนำนิยายที่มีพล็อตที่แข็งขนาดนี้มาเล่นก็เลยเป็นจุดแข็งส่วนหนึ่ง

– ฉาก

สำหรับผมที่ไม่ได้ดูละครเวทีบ่อย ๆ ฉากน่าจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งซึ่งวิวัฒนาการมาจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแล้ว คือแบบว่าอลังการมาก ฉากใหญ่ ๆ กำแพงเมืองสูงสองสามชั้น (จนกลัวตัวละครจะพลัดตกลงมาคอหักตาย) เปลี่ยนสี เปลี่ยนภาพ และที่น่าทึ่งคือฉากมีการเคลื่อนไหวตลอด เข้ามาสวมได้พอดีกับการเคลื่อนไหวของตัวละคร ไม่มีการรอสลับฉากเลย ฉากจะเลื่อนเข้าเลื่อนออกได้ลื่นไหลมาก (ยังกับเป็นตัวละครตัวหนึ่ง) และเทคนิกแสงสีควันต่าง ๆ ด็เข้ากับบรรยากาศของแต่ละตอนได้ดี จนรู้สึกเลยว่า ในส่วนของฉากยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไรให้มันออกมาดีกว่านี้ได้จริง ๆ (รู้สึกว่ามันดีสุด ๆ แล้วล่ะครับ) เมื่อเทียบกับตอนที่ดูทวิภพแล้วก็รู้สึกว่าพัฒนาไปไกลมาก ๆ

โดยรวมแล้วก็รู้สึกว่าสนุกดีนะครับ จริง ๆ แล้วก็คิดว่าละครเวทีก็ทำตลาดได้ไม่น่าง่ายนัก จะมีใครที่เสียเงินหลายร้อยบาท (หรือเกือบพัน) ในเวลาสองสามชั่วโมงนี่ ก็ต้องคิดแล้วว่าคุ้มค่า ดังนั้น ก็อาจจะทำให้เราต้องมาแนวฉากอลังการ เสื้อผ้าอลังการ หรือเป็นแนวมิวสิคัล ซึ่งจริง ๆ ผมก็เสียดายนะ เพราะเรื่องที่พล็อตดีมาก ๆ ไดอะล็อคดีมาก ๆ (อย่างที่ไปดูก็เช่นเนื้อคู่ 11 ฉาก) ก็คงไม่มีโอกาสได้เกิดเท่าไหร่ (ซึ่งเรื่องนั้นนี่ชอบมาก โดยเฉพาะการเล่าเรื่องระหว่างฉากที่ฅนดูต้องไปปะติดปะต่อเอาเอง แล้วตอนนั้นยังไม่มีเแฟนเลย ถ้าไปดูตอนนี้ซึ่งมีครอบครัวแล้วคงอินน่าดู)

ก็ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ชวนไปดูเรื่องนี้แล้วกันนะครับ ยังไม่มีโปรแกรมเรื่องถัด ๆ ไปที่จะไปดู แต่ก็หวังว่าจะมีโอกาสพาลูกสาวไปร่วมได้สักวัน

Image

Monsters University (spoil)

Posted: August 14, 2013 in Movies

สำหรับ Monsters University นี่ก็ไปดูกับฐิงมาครับ บอกได้ว่าประทับใจมากกกกก ซึ่งพอย้อนกลับมาดู ก็น่าประหลาดใจ เพราะว่าองค์ประกอบของหนังก็คือหนังตาสูตรสำเร็จธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่โดนดูถูกว่าไร้ความสามารถ และจะต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นทีมเข้าแข่งขันของตัวเอกที่เป็น underdog สุด ๆ ผ่านมาแต่ละรอบก็ต้องอาศัยโชคช่วย แต่สุดท้ายก็ค่อย ๆ พัฒนาขัดเกลาความสามารถตัวเองจนเปล่งประกายได้ ซึ่งเนื้อเรื่องทั้งหมดถ้าเป็นไปตามสูตรสำเร็จ เราก็คงจะได้แค่อนิเมชั่นภาพสวย ๆ ที่ดูจบแล้วก็ประทับใจแบบธรรมดา
แต่เรื่องนี้ทำได้ดีกว่านั้นนะครับ ซึ่งถ้าให้ผมลองสรุป คิดว่าหนังแบ่งออกเป็น 3 ช่วง

ช่วงแรก – คือช่วงที่ไมค์เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมอนสเตอร์ ช่วงนี้จะเลียนแบบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยได้อย่างน่ารักน่าชัง (คือทุกอย่างก็เหมือนฅนจริง ๆ นี่ล่ะ เพียงแต่เปลี่ยนเป็นมอนสเตอร์เท่านั้นเอง) ทั้งการเปิดลงทะเบียน ทั้งการแบ่งเป็นตามบ้านต่าง ๆ พิธีรับเข้าบ้าน รวมไปถึงบรรยากาศหรือตึกเรียนต่าง ๆ ซึ่งถ้าเป็นเด็กจบเมืองนอกคงจะอิงหน่อย (เพราะบรรยากาศมันก็ต่างจากมหาวิทยาลัยของไทยพอสมควร) แต่ถ้าใครเคยเห็นมาบ้างก็คงจะนึกภาพออกนะครับ

ช่วงที่สอง- คือช่วงที่ไมค์ตั้งทีมกับซัลลี่เพื่อเข้าแข่งขันการหลอน ส่วนที่สองเป็นโครงสร้างตามสูตรอย่างที่กล่าวมาแล้วครับ คือการเอาทีมที่ห่วยที่สุด ไปเข้าแข่งขันจนได้เป็นทีมที่ชนะเลิศ จริง ๆ ถ้าเป็นหนังห่วย ๆ บทแบบนี้จะดูฝืด ๆ ทำให้เราไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าจะเป็นไปได้จริง แต่เรื่องนี้ก็ทำได้ดีครับ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ก็เก่งขึ้นมา หรือสามัคคีกันได้ทันตา แต่ค่อย ๆ ปรับขึ้นมา ผ่านรอบแรกรอบสองอาจจะได้โชคช่วยหรือดูฟลุค แต่รอบหลัง ๆ พอรวมใจกันได้ ก็งัดเอาลักษณะเฉพาะของแต่ละฅนมาใช้ได้ดีขึ้น

ช่วงที่สาม- ถ้าเป็นหนังอื่น ๆ ก็คงจบแค่ช่วงที่สอง ที่ทีมของไมค์กับซัลลี่ชนะเลิศหลังจากที่โดนดูถูกไปเยอะ แล้วก็หมดแค่นั้น แต่สำหรับเรื่องนี้ ช่วงที่สามคือช่วงที่ดีที่สุดครับ คือกระชากฅนดูกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง รางวัลชนะเลิศก็ไม่ได้มาอย่างตรงไปตรงมา ในขณะเดียวกัน เรื่องก็ปูทำให้ไมค์ต้องดิ้นรนไปพิสูจน์ความจริงบนโลกมนุษย์ ตามติดมาด้วยความจริงที่โหดร้ายและต้องยอมรับว่า บางทีเราก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริง ๆ ในขณะเดียวกัน การไปหลอนบนโลกมนุษย์และผูกเรื่องให้โดนปิดประตูจากอีกฝั่ง แล้วทำให้ทั้งคู่ต้องทำการ ‘หลอน’ ครั้งประวัติศาสตร์ ก็เป็นฉากโชว์พลังมาก ๆ (ขนลุกเลยทีเดียว ไ่ม่ต่างจากฉากประตูแสนใบที่เล่นเอาขนลุกใน Monster Inc เลย) นอกจากเต็มอิ่มแล้ว ยังทำให้ฅนดูหมดความสงสัยไปเลยว่า ต่อจากนี้สองฅนนี้จะกลายมาเป็นนักหลอนอันดับหนึ่งได้อย่างไร และเชื่อมต่อกับภาค Monster Inc ได้อย่างดี

ประเด็นอีกอย่างที่น่าสนใจก็คือการทำหนังย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วทำยาก (ต่างจากทำหนังภาคต่อ) เพราะฅนดูรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองฅนนี้จะกลายมาเป็นนักหลอนอันดับหนึ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือรู้ตอนจบอยู่แล้ว การจะทำหนังที่ย้อนไปจุดตั้งต้นที่รู้ตอนจบแล้วให้สนุกก็เลยไม่ง่ายนัก แต่หนังเรื่องนี้ก็ใช้องค์ประกอบได้เปรียบหลายประการ เช่น

อย่างแรก คือการโผล่ไปโผล่มาของตัวละครภาค Monsters Inc ครับ ดูแล้วก็จะอิ๊อ๊ะว่า นี่ไง มันโผล่มาในอีกภาคนึงนะ การที่มีตัวละครที่เรารู้จัก แค่โผล่หน้ามาให้จับตัวนี่ก็สนุกมากแล้ว และเรื่องนี้ดีอยู่อย่างตรงที่ว่าโผล่มาแบบน่ารัก ๆ ไม่ได้มีผลกับเนื้อเรื่องครับ (คือไม่ได้ดี Monster Inc ก็ไม่ได้ทำให้ดู Monsters University ไม่เข้าใจแต่อย่างใด) หรือยังมีพวกของใช้กิมมิกเล็ก ๆ น้อย ๆ ตุ๊กตา โปสเตอร์ ฯลฯ ที่โผล่ทั้งสองภาคให้ดูอีก

อย่างที่สอง เรารู้อยู่แล้วว่าภาค Monsters Inc ตัวละครแต่ละตัวจะมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ไมค์กับซัลลี่เป็นคู่หูที่สนิทกันมาก ดังนั้น การวางความสัมพันธ์ในภาคตั้งต้นให้แตกต่างกันมาก เช่น ทำให้ไมค์กับซัลลี่ไม่ชอบหน้ากันมาก ๆ ตั้งแต่แรก ก็ทำให้หนังน่าสนใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะพัฒนาไปได้อย่างไร (หรืออย่างเช่นให้ตัวกิ้งก่าเป็นรูมเมทของไมค์ แล้วตอนแรกก็เซ่อ ๆ ซ่า ๆ ก็ทำให้หนังน่าสนใจว่าต่อไป มันจะกลายเป็นตัวร้ายสุด ๆ และเกลียดขี้หน้าคู่หูไมค์และซัลลี่ได้อย่างไร และการที่เรารู้ตอนจบ มันทำให้ประโยคที่ตัวละครพูดบางประโยคที่ธรรมดามาก(ถ้าเราไม่รู้ตอนจบ) กลายเป็นประโยคที่สะเทือนใจ เช่น ประโยคที่ไมค์พูดซ้ำ ๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องว่า ฉันจะเป็นนักหลอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าไม่ได้รู้ตอนจบมาก่อนก็คงไม่สะเทือนใจเท่าไหร่น่ะนะครับ

อย่างที่สาม การที่เรารู้ว่าตอนทำงานใน Monster Inc เป็นอย่างไร ทำให้เราคิด(เอาเอง) ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น ทั้งสองฅนนี้จะต้องจบ Monsters University มาแน่ๆ  และจะต้องจบด้วยคะแนนท็อป แต่พอทำย้อนกลับไปจุดตั้งต้นจริง ๆ และตลบหลังอีกรอบ ว่าทั้งสองฅนโดนไล่ออกตั้งแต่เทอมแรกนะ แถมเข้าร่วมแข่งขัน ชนะก็จริง แต่ก็โดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัยซ้ำซ้อนจากวีรกรรมที่ทำไว้ ก็ยิ่งทำให้เราเหวอเข้าไปอีก ก็เป็นความฉลาดที่เขียนบทพลิกไปพลิกมา ตลบความคาดหวังของฅนดูให้พลิกไปอีกทางนะครับ (แล้วก็เป็น message ให้กำลังใจที่ดีมากว่า ต่อให้คุณไม่ได้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย คุณก็ประสบความสำเร็จได้ เป็นหนังที่น่ารักมากจริง ๆ)

สำหรับภาคนี้ ไมค์เป็นพระเอกเต็มตัวเลยครับ เมื่อเทียบกับภาค Monsters Inc ที่ซัลลี่ดูจะเด่นกว่ามาก (ไมค์เป็นแค่ตัวเสริมมากกว่า) แต่ภาคนี้ไมค์ได้รับบทที่มีมิติมาก ซึ่งทีมเขียนบทก็วางน้ำหนักดี ไม่ให้บทของซัลลี่มาแย่งซีนมาก แต่สุดท้ายที่ผมนึกได้หลังจากดูหนังจบและเดินออกมาสักพักก็คือว่า ไมค์ตั้งใจจะเป็นนักหลอนมาตลอดชีวิต จบภาค Monsters University ด้วยการยอมรับว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะทำงานภาคสนามจริง ๆ แล้วก็ผันตัวเองมาเป็น trainer บวกผู้จัดการส่วนตัวให้กับซัลลี่ แต่พอตอนจบภาค Monsters Inc ไมค์กลายเป็นมอนสเตอร์สร้างเสียงหัวเราะที่เก่งที่สุด และกลายมาเป็นฅนออกภาคสนามแทนซัลลี่ที่สลับไปเป็นผู้จัดการแทน นึกมาถึงตอนนี้ที่ความฝันของไมค์ได้รับการเติมเต็มแล้วก็อดซาบซึ้งไม่ได้

ชื่นชม Disney และ Pixar ที่ทำหนังอนิเมชั่นดี ๆ มาให้ดูนะครับ ถือเป็นอีกหนึ่งหนังในดวงใจเลยทีเดียว

เพิ่งได้ตามดู Hormones วัยว้าวุ่นจนถึงตอนล่าสุดครับ ว่าจะอยากดูตั้งนานแล้วแต่ชวนภรรยาแล้วเจ้าตัวอิดออด จนเพิ่งได้มานั่งดูแล้วภรรยาก็ดูตาแป๋วไปกับผมด้วยนี่แหละ

ผมว่าเป็นซีรีย์ที่ดังพอสมควรเลยล่ะ วัดจากที่เพื่อน ๆ ที่คณะคุยกัน แล้วก็ดูจาก facebook, twitter ซึ่งก็ถือว่า GTH ประสบความสำเร็จ เมื่อมองว่าไม่ได้ฉายทางช่องฟรีทีวี

ก็มีหลายประเด็นอยากพูดถึงนะครับ

ประเด็นวัยรุ่น

– สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ในซีรีย์นี้ก็คือเนื้อหาที่ค่อนข้างจะจับประเด็นของวัยรุ่นได้หลากหลายดีนะครับ แล้วก็เห็นปัญหาของวัยรุ่นที่มีลักษณะบุคลิกต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราดูแล้วก็รู้สึกว่า เออ มันมีจริง ๆ นะเนี่ย ไม่ใช่แค่ที่เห็นได้ตามข่าวเท่านั้น (เช่นเรื่องตีกัน ยึดเข็ม หรือเรื่องวัยรุ่นเปลี่ยนคู่นอน) แต่บางครั้งเราอาจจะมีเพื่อนที่เป็นแบบนั้นจริง ๆ เช่น ผมมีเพื่อนที่แต่งนิยายฟิคชั่นแบบในซีรีย์นี่แหละ (และตอนนี้ก็เป็นนักเขียนของแจ่มใสพับลิชิ่งไปแล้ว) หรือว่าเพื่อนผู้หญิงที่ไม่ได้อ่อย ไม่ได้แรด แต่สนิทกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงจริง ๆ (แล้วก็มีผู้ชายมาชอบกันตรึม)

เพราะงั้นมันก็เลยสนุกดี เวลานั่งดูเรื่องราวในนั้นซึ่งเป็นเรื่องราวที่เคยผ่านพบผ่านตามาด้วยตัวเอง ดูแล้วก็ nostalgia (ถึงแม้จะแตกต่างกันในด้านเทคโนโลยีบ้าง เช่นตอนนี้ขอ line แต่สมัยนั้นก็จะแบบประมาณว่า พี่ฐิงครับ ขอ add MSN หน่อยนะครับ แหม่)

ความแรง

– ช่วงแรกที่ดู teaser ผมก็ไม่กล้าชวนฐิงนะครับ เพราะมันดูมีประเด็นที่แอบแรง เช่น ตัวละครมีอะไรกันในห้องแล็บชีวะ(ในชุดนักเรียน) แต่พอมาดูจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้แรงขนาดนั้นนะครับ จริง ๆ แล้วประเด็นในเรื่องที่เป็นปัญหาถกเถียงในเชิงศีลธรรมและสังคมของวัยรุ่น อาจจะมีหนังเรื่องอื่นที่ตีแผ่ได้เข้มข้นกว่า อย่างในซีรีย์นี้เอง ตัวละครที่ยกพวกตีกันก็ไม่ได้ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย ผู้หญิงที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ ก็ไม่ได้ถึงขั้นล่าแต้มไปทั่ว (ก็ยังมีโมเมนท์กุ๊กกิ๊ก น่ารัก เดินจับมือกับแฟนบ้าง) อาจจะไม่สะใจฅนที่ต้องการให้ออกมาดาร์คสุด ๆ แต่ผมคิดว่าวัตถุประสงค์ของผู้สร้างไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น แค่เพียงแสดงให้เห็นนะว่า มันมีประเด็นแบบนี้อยู่จริงในชีวิตวัยรุ่น เพราะงั้น ผมว่าซีรีย์นี้ผู้ปกครองก็ดูได้นะครับ เพราะไม่ได้แรงถึงขั้นดูแล้วหัวใจจะวายหรือต้องนิ่วหน้าดู แต่ก็แสดงให้เห็นว่าการกระทำของเราจะมีผลกระทบตามมาเสมอ

สิ่งที่ทำให้ติดตาม

-ตอนที่ผมชอบมาเป็นตอนแรกสุดเลยนะครับ เพราะเล่นเรื่องเครื่องแบบนักเรียนได้แหลมคมมาก (อาจจะเพราะยังไม่เคยมีใครทำละครที่ตัวเอกลุกขึ้นมาตั้งคำถามว่า ทำไมต้องใส่เครื่องแบบด้วย อย่างจริงจัง) และการหาทางออกให้กับตอนจบนั้นผมก็ค่อนข้างพอใจ คือผมเห็นบางฅนอาจจะบอกว่า ที่คุณครูตอบนักเรียนนี่ มันยังถกเถียงต่อในเชิงสังคมได้อีกเยอะเลยนะเนี่ย แต่สำหรับผมถือว่ากำลังดีแล้วครับ ไม่หนักเกินไป แล้วก็ชี้ให้เห็นได้ชัดว่า วัยรุ่นที่ทำตัวต่อต้านมาก ๆบางทีเขาอาจจะแค่ต้องการให้ใครสักฅนตอบคำถามเขาอย่างจริงจัง มากกว่าที่จะใช้อำนาจกดหัวเพียงผ่าน ๆ และบทสนทนาระหว่างพระเอกกับนางเอกตอนจบของตอนที่ 1 ก็น่าสนใจมากนะครับ บางฅนอาจจะดูผ่าน ๆ แต่สำหรับผมแล้วคิดต่อได้เยอะเลย

– ส่วนตอนอื่น ๆ นี่ ผมคิดว่าความสนุกของซีรีย์เรื่องนี้ นอกเหนือจากการได้ดูนักแสดงหน้าใสทั้งหลายแล้ว (ผมก็แฟนคลับปันปันเหมือนกันนะครับ แฮ่ม) ที่ผมชื่นชอบก็คือการได้ล้วงลึกเข้าไปในชีวิตของตัวละครแต่ละตัวที่มีบุคลิกแตกต่างจากเรา ทำให่เราเข้าใจนที่มีลักษณะต่าง ๆ กันได้มากขึ้น เช่น แบดบอยกร่าง ๆ บางฅนอาจจะแค่เป็นฅนนึกอะไรก็ทำเลย ไม่ค่อยได้คิดอะไร ฅนที่ไม่โดดเด่นบางฅนก็ได้เห็นว่าเขาต้องพยายามมากแค่ไหน และการได้เป็น somebody มันมีความหมายกับเขาแค่ไหน หรือฅนที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก ๆ จริง ๆ แล้วเขาก็แคร์ฅนอื่นเป็นนะ แค่เขามีวิธีแสดงออกในแบบของเขาเอง โดยรวมแล้ว ผมคิดว่านั่งดูอะไรแบบนี้ทำให้ผมเข้าใจฅนได้หลากหลายขึ้นนะครับ

สะท้อนชีวิตตัวเอง

– ดูละครทีไรก็ต้องกลับมาสะท้อนชีวิตตัวเอง ผมดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกเลยว่า ตัวผมเองสมัยม.ปลายนี่เหมือนกับขวัญที่เป็นนางเอกมาก ๆ ชีวิตเรียบ ๆ จัด ๆ ไม่มีอะไรผาดโผน มีแต่แค่เรียนกับกิจกรรม (คือผมคิดว่าถ้าตัวเองเกิดเป็นผู้หญิง ก็คงคาแรคเตอร์คล้าย ๆ แบบนี้แหละ ไม่ได้หมายถึงหน้าตานะครับ) ยิ่งเรื่องความรักนี่ยิ่งจืดสนิท จีบใครไม่เป็นเอาเสียเลย ดูเรื่องนี้แล้วก็ตระหนักได้ว่า ฅนจืด ๆ แบบเราสามารถมีฅนรักได้ มีฅนยินดีแต่งงานกับเราในแบบที่เราเป็นนี่ ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่งในชีวิตได้เลยนะเนี่ย

– เท่าที่ดูอาจจะยังเห็นไม่ค่อยชัด แต่ก็พอสื่อได้ประมาณนึงว่า คาแรคเตอร์แต่ละฅนมีส่วนกล่อมเกลาไม่น้อยจากพ่อและแม่นะครับ (ชัด ๆ อย่างเช่นวินเองที่มีอะไรกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ดูแล้วก็ไม่ต่างจากที่พ่อเขาทำเท่าไหร่) แล้วก็เลยต้องย้อนมาดูว่า ต่อจากนี้ไปเอง ฏิต้าโตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการวางตัวและการประพฤติของผมไม่น้อยเลยทีเดียว

สุดท้าย หลังดูซีรีย์จบแล้ว ผมก็หวังว่า ลูกสาวของเรา จะโตไปเป็นวัยรุ่น และผ่านพ้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้อย่างไม่ผิดพลั้งมากเกินไปนะครับ

วันนี้ที่อยากจะพูดถึงก็คือเรื่องที่ได้ไปเที่ยวฮ่องกงครับ ได้ไปทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกสุดสิบกว่าปีก่อนตอนผมอยู่ประถมปลาย (ไปกับคุณพ่อแล้วก็ญาติ ๆ) เพราะฉะนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ครับ เที่ยวที่ไหนบ้างก็นึกไม่ค่อยออก จำได้แค่ว่ามีรูปถ่ายปริ้นท์บนจานที่ลูบท้องรูปปั้นพระสังกัจจาย (รู้สึกนัยว่าจะทำให้เงินทองไหลมาเทมา) หนที่สองเพิ่งไปเมื่อปีเศษ ๆ ไปฮันนีมูนกับภรรยา ซึ่งจริง ๆ ก็เที่ยวแค่ตอนเย็นเพราะภรรยาทำงาน ทริปนี้ไม่ได้ซื้อหรือมีอะไรติดไม้ติดมือกลับมาเป็นพิเศษนอกจากเคสมือถือกับฏิต้า ส่วนครั้งสุดท้ายเพิ่งไปไม่นานนี้ เป็นเข้าค่ายยุวชนก็เลยไม่ได้ไปเที่ยวจริงจังเท่าไหร่ครับ

อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่ได้เที่ยวเยอะแยะมาเม้าธ์เล่าต่อ แต่จากการที่ไปต่างบ้านต่างเมืองก็มีข้อสังเกตน่าสนใจในหลาย ๆ เรื่องครับ

เรื่องแรก สิ่งที่ประทับใจสำหรับที่นี่มากที่สุดก็คงเป็นเรื่องรถไฟใต้ดินนะครับ เพราะที่นี่รถไฟมีเครือข่ายกว้างขวางมาก คือสามารถไปได้แทบทุกที่จากการนั่งรถไฟใต้ดิน ซึ่งเป็นเรื่องสะดวกมาก ๆ เห็นแล้วก็นึกถึงเมืองไทยอยากให้มีระบบรางที่ครอบคลุมแบบนี้บ้างนะครับ ที่น่าสนใจก็คือราคาตั๋วรถไฟที่นี่ถูกมาก ๆ ถ้าคำนวณอัตราและเปลี่ยนไม่ผิด น่าจะสูสีกับ BTS ของเราทั้ง ๆ ที่ค่าครองชีพหรืออาหารต่าง ๆ แพงกว่าเราสองเท่ากว่าเห็นจะได้ นัยว่ารัฐบาลคงจะสนับสนุนขนส่งมวลชนเลยควบคุมราคาไม่ให้แพงมากนะครับ

ที่นี่เด็กนักเรียนใช้ค่อนข้างเยอะนะครับ แล้วจำนวนผู้โดยสารก็มากกว่าเรา (เว้นแต่ช่วง rush hour ที่น่าจะสูสี) แล้วที่นี่ เท่าที่ผมเห็นจะไม่มีธรรมเนียมลุกให้ที่นั่งเด็กหรือฅนแก่นะครับ ผมเคยลุกให้ที่นั่งเด็กฅนนึง คุณแม่เขาขอบคุณแล้วขอบคุณอีกใหญ่เลย

สำหรับการเดินทางอื่น ๆ ผมไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่นะครับ เคยขึ้น taxi หนนึงซึ่งก็ไม่รู้สึกว่าแตกต่างจากเมืองไทยเท่าไหร่ (นอกจากประตูเปิดได้อัตโนมัติ เราไม่ต้องเปิดเอง) พาหนะอีกอย่างที่เห็นบ่อย ๆ คือรถบัส แต่จะต่างจากของไทยคือไม่มีกระเป๋ารถเมล์(จ่ายเงินตอนขึ้น ต้องจ่ายพอดี) รถเป็นสองชั้น (ซึ่งส่วนสูงมากกว่าฐานมากจนถ้าเข้าโค้งแรง ๆ หวาดเสียวจะล้มเอา) แล้วก็มีป้ายไฟวิ่งว่าสถานีต่อไปเป็นสถานีอะไร อ้อ ถ้าพูดถึงการเดินทางก็นึกถึงเวลาข้ามถนนครับ ที่นี่มีไฟเขียวไฟแดงสำหรับฅนข้ามถนน ซึ่งก็ไม่แปลก แต่ที่น่าสนใจคือเวลามีไฟเขียวจะมีเสียงติ๊กดังรัว ๆ (ออกแนวปวดประสาท) สำหรับฅนตามองไม่เห็นจะได้ทราบว่าสามารถเดินข้ามได้แล้ว แต่ที่นี่ฅนไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไหร่นะครับ ทั้ง ๆ ที่ไฟฅนข้ามถนนยังแดงอยู่แต่ก็เห็นฅนข้ามเป็นประจำ

เรื่องที่สองคือเรื่องอาหารครับ

อาหารที่นี่ก็เป็นแนวอาหารจีนทั่ว ๆ ไปนะครับ ร้านอาหารก็มีตั้งแต่ถูก ๆ (หมายถึงสภาพ) ไปจนถึงร้านอาหารที่เป็นเหลา ที่นี่เวลาไปร้านอาหาผมไม่ค่อยเจอเมนูภาษาอังกฤษนะครับ มีแต่ภาษาจีน เพราะงั้นเวลาสั่งอาหารก็ใช้วิธีชี้รูปเอาหรือไม่ก็ลอกโต๊ะข้าง ๆ เรื่องรสชาติอาหารนี่ก็บอกยากครับ ก็มัน ๆ เข้มข้นเหมือนอาหารจีนที่เราคุ้นเคย ตอนครั้งล่าสุดที่ผมไปเข้าค่ายก็มีวันที่พาไปเลี้ยงอาหารที่หน้าตาคล้าย ๆ โต๊ะจีน ลักษณะและรสชาติอาหารก็ไม่ได้แตกต่างกันมากกนะครับ (แต่ติ่มซำที่นี่อร่อยนะครับ) รุ่นพี่ผมเล่าให้ฟังว่าสำหรับฅนจีนแล้ว เขาไม่ทานของหวานกัน เพราะฉะนั้น อะไรที่เหมือนจะเป็นของหวานของที่นี่ก็เลยหน้าตาแปลก ๆ เช่นซาละเปาไส้เหมือนจะครีม (แต่เป็นเม็ดบัว) หรือว่าซุปถั่วแดงต้มที่ปั่นเละเสียจนหมือนน้ำถั่วแดงแบบมีกากมากว่า ซุปงาสีดำ ๆ และซุปขาวข้น ๆ ที่เหมือนน้ำเต้าหู้แต่เขาบอกว่าเป็นถั่วอัลมอนด์ (กลิ่นปะแล่ม ๆ เหมือนไซยาไนด์) ที่พูดมานี่สาบานได้ว่าเป็นขนมหวาน

ที่น่าสนใจก็คือพี่เขาบอกว่าฅนที่นี่เขาไม่กินเครื่องดื่มใส่น้ำแข็งกัน เพราะงั้นเวลาเขามาเมืองไทยนี่เขาเกือบช็อคที่เราเอาทุกอย่างใส่น้ำแข็งหมดแม้กระทั่งชาหรือเบียร์ ซึ่งเท่าที่อยู่มาผมคิดว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ที่สนุกมากก็คือเวลาไปเดินสำรวจ 7-11 ของเขาครับ ที่นี่มีความน่าสนใจคือ

– ไม่มีเสลอปี้

– นมที่นี่มีรสขาติให้เลือกน้อยมาก ไม่ได้มีเป็นสิบชนิดเหมือนบ้านเรา (แต่สัดส่วนของนมถั่งเหลืองในตู้แช่อขามากกว่าเราเกือบเท่าตัว

– ที่นี่มีตู้ water bath สำหรับใส่เครื่องดื่มอุ่น ทั้งที่อากาศก็ร้อนตับแตกเหมือนบ้านเรา

เรื่องที่สามเป็นเรื่องของภาษาและการบริการครับ

ที่นี่เราจะนึกว่าฅนพูดภาษาอังกฤษได้เยอะ แต่จริง ๆ แล้วก็ได้เฉพาะฅนที่มีอาชีพด้านการบริการนะครับ ถ้าเป็นฅนทั่ว ๆ ไปแล้วก็มีอายุหน่อยก็เห็นพูดกันไม่ค่อยได้ (อย่างโรงแรมหนึ่งดาวที่ผมไปนอนตอนฮันนีมูน ก็ต้องใช้ภาษามือกันวุ่นวาย) ที่น่าสนใจคือฅนที่นี่เขาจะมีวิธีบริการที่แตกต่างจากฅนไทยครับ (ซึ่งฐิงไม่ชอบเลย) เวลาให้บริการจะหน้าตูด ๆ  หน่อย ไม่ยิ้ม แล้วก็พูดห้วน ๆ อย่างผมเคยไปสนามบินขอเปลี่ยนตั๋ว แล้วก็ถามว่าขอเปลี่ยนเป็นรอบนี้ได้ไหม อีกฝ่ายก็พิมพ์ก็อก ๆ แก็ก ๆ แล้วก็ตอบสั้น ๆ โดยไม่มองหน้าผมว่า “full” เวลาเล่นมุขอะไรก็ไม่ค่อยจะขำ ทำหน้าตาย ๆ (ถ้าเป็นฅนไทยก็จะดูเป็นมิตรกว่าานี้น่ะนะครับ)

แต่ก็ใช่ว่าฅนที่นี่จะแล้งน้ำใจน่ะนะครับ น่าจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมมากกว่า อย่างผมเคยไปถามทางพี่ยามหน้าอพาตเมนท์ พี่เขาก็พูดอังกฤษไม่ค่อยได้นี่แหละ แต่เรียกฅนมาเป็นสิบเลย มาช่วยดูแผนที่แล้วก็หาทางให้เรา เพราะงั้นถ้าชินกับหน้าตาย ๆ ได้อย่างอื่นก็คงไม่มีปัญหาอะไร

เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องเล็ก ๆครับ ที่นี่เวลาซื้อของเขาจะไม่ให้ถุงพลาสติคฟรี ๆ อยากได้ต้องเสียเงิน ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เมืองไทยน่าจะเอาเยี่ยงอย่าง (และในโรงแรมเขาจะมีถุงผ้าเตรียมไว้ให้เราสำหรับไปช้อปปิ้งด้วย) อีกเรื่องคือที่นี่เขาจะใช้เหรียญกันน้อยมากครับ เขาจะใช้บัตร debit ที่เรียกกันที่นั่นว่า octopus card เวลาซื้อของ ขึ้นรถเมล์ หรือไปร้านอาหารอะไรก็ค่อนข้างสะะดวก ไม่ต้องทอนตังค์ให้ยุ่งยาก ทุกร้านก็จะมีเครื่องสแกนแล้วเราก็หักเอาจากบัตรที่เราใช้ อยู่ที่นั่นก็เลยไม่ต้องใช้เหรียญเลยครับ

อันนี้ก็เป็นประสบการณ์คร่าว ๆ จากการไปเที่ยวนะครับ แล้วถ้าวันไหนได้ไปที่ไหนอีกก็จะเอามาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันครับ

The Voice Thailand

Posted: October 27, 2012 in Uncategorized

เห็นหลายท่าน หลายคอลัมน์เขียนเกี่ยวกับรายการนี้ไปมากแล้วครับ จริง ๆ ก็อาจจะเฝือไปสักหน่อย แต่ว่าจะลองเขียนในแง่มุมที่แตกต่างออกไปบ้างแล้วกัน

– สำหรับรายการนี้ สิ่งที่ฅนชมมากก็คงเป็นเรื่องของผู้เข้าแข่งขันที่เสียงดีจริง ๆ นะครับ สำหรับรายการอื่นก็อาจจะมีเสียงดีบ้าง เสียงปานกลางบ้างปะปนกันไป ทีนี้พอรายการนี้ตั้งต้นด้วยเสียงจริง ๆ โดยไม่สนใจหน้าตา ฅนที่เคยขัดอกขัดใจกับรายการอื่น ๆ ที่มีเรื่องหน้าตาเข้ามาปะปนกันมากก็เลยสบายใจกับรายการนี้มากขึ้น ซึ่งผมอ่านสัมภาษณ์ทีมโค้ชในประชาชาติธุรกิจ เดิมทีมโค้ชก็คิดว่า รายการนี้มันจะมีฅนมาสมัครรึเปล่าหว่า เพราะว่ารายการร้องเพลงดัง ๆ ของที่อื่นก็มีไปหมดแล้ว แล้วโค้ชโจอี้ (ถ้าจำไม่ผิด) ก็บอกว่าจริง ๆ แล้วมีฅนที่ทำงานด้านนี้อยู่เยอะเลยแหละ แต่ไม่กล้ามาอยู่เบื้องหน้าเพราะว่าติดขัดเรื่องรูปลักษณ์ หน้าตา พอมีรายการนี้เข้ามาที่ตัดเรื่องหน้าตาออก ฅนก็เลยกล้ามาออกรายการกันเต็มไปหมด

– ช่วง blind audition หลาย ๆ ฅนก็น่าจะมีความสุขกับการฟังเสียงเพราะ ๆ แล้วก็ลุ้นว่าโค้ชจะกดไหมนะครับ ถ้ากดหันมาก็คงจะลุ้นอีกว่าเจ้าตัวจะเลือกอยู่ทีมไหน ส่วนตัวผมเองที่ทำให้สนุกมากขึ้นก็คือการที่พยายามมานั่งดูว่าโค้ชฅนไหนชอบเสียงสไตล์ไหนครับ (อย่างโค้ชก้องจะชอบเสียงที่ตรงไปตรงมา ไม่เน้นเทคนิกมาก หรือโค้ชค้ิมจะเลือกยากสุด เสียงดี แต่ร้องแบนก็ไม่เอา ชอบแบบฟีลลิ่งเยอะ ๆ หรือเสียงแปลก ๆ) ที่สนุกที่สุดก็คือตอนที่ย้อนกลับมาดูว่านักร้องร้องท่อนไหน หรือฮุคไหน ที่ทำให้โค้ชตัดสินใจว่า เอาวะ! แล้วก็กดปุ่มนี้นะครับ

– อีกเรื่องที่คิดว่าน่าสนใจสำหรับผมก็คือการตัดต่อนะครับ เพราะจะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้เอาเทปของผู้เข้าแข่งขันทุกฅนที่ประกวดมาออก ในขณะเดียวกัน แม้กระทั่งฅนที่ผ่านเข้ารอบเอง ก็ไม่ได้ตัดมาเวลาเท่า ๆ กันด้วย มีมากน้อยต่างกัน ที่สำคัญที่สุดก็คือ เวลาดูเข้าใจได้ว่า เราไม่ทราบด้วยซ้ำว่าอันไหนมาก่อนมาหลัง ตัดสลับไปสลับมา เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำให้ฅนตัดต่อเลือกเรียงลำดับแบบนี้ก็มีความน่าสนใจเช่นเดียวกัน

– ยกตัวอย่างเช่นรอบ battle นี่ล่ะ จากการแต่งตัวของกรรมการ ผมเข้าใจว่า battle รวดเดียวหมดทุกคู่เลยนะครับ แล้วทางทีมงานก็ตัดต่อมาออก 3 สัปดาห์ เพราะฉะนั้นก็น่าสนใจว่าเหตุผลที่เลือกมาแต่ละคู่ในแต่ละสัปดาห์คืออะไร อย่างเช่นสัปดาห์ที่ผ่านมา เท่าที่ผมดู ผมก็คิดว่าทีมงานจงใจเลือกมาให้ค่อนข้างจะครบทุกรส ไม่ว่าจะเป็น battle ไฮไลท์ที่คุณภาพดีไม่แพ้เมืองนอก (คู่คุณคิง-น้าเหน่ง) คู่ม้านอกสายตาแต่ออกมาดีผิดคาด (คู่คุณคีย์-ตุ้ม-ปุ้ย) แล้วก็จงใจใส่คู่ที่ความสามารถเฉพาะตัวดีแต่ตะเบ็งแข่งกันจนเละอย่างคู่คุณกบ-เอ้าท์ สัปดาห์ต่อ ๆ ไปก็น่าลุ้นว่าจะเอาคู่แบบไหนมาให้เราดูอีกน่ะนะครับ

– ประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจสำหรับผมคือความดราม่าของรายการนี้แหละครับ ไม่ใช่จากตัวรายการเอง แต่จากฝั่งฅนดู อย่างรอบ blind รอบแรก ดราม่าอย่างมากก็แค่ฅนนี้ร้องดีนะ ทำไมไม่กดล่ะ หรือฅนนี้ร้องห่วยออก กดเข้ามาได้ไง (ซึ่งก็ถือว่ามีไม่ค่อยมาก) แต่พอมารอบสองนี่ดราม่าชักจะเยอะ ตั้งแต่การเลือกคู่ ไปจนถึงการเลือกเพลงว่าทำให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน

ส่วนตัวผมแล้ว ผมเฉย ๆ กับเรื่องนี้นะครับ (ในแง่ที่ว่าการเลือกเพลงกับการจับคู่อาจจะดูไ่ม่ค่อยเท่าเทียม) เพราะตัวกรรมการเองก็จะต้องเลือกให้ฅนที่ผ่านเข้ารอบของทีมตัวเองมีโอกาสมากที่สุดที่จะชนะ เพราะฉะนั้นการตัดสินก็อาจจะไม่ได้มาจากแค่ตอนแข่ง battle กันล้วน ๆ แต่อาจจะมาตั้งแต่รอบ blind แล้วด้วย (แปลว่า ใครทำรอบ blind ได้ดีกว่า ฅนนั้นก็มีโอกาสเข้ารอบมากกว่า)

วิธีดูว่าฅนไหนมีโอกาสมากกว่าก็ดูได้หลายวิธีครับ จากรอบ blind ดูว่าใครที่โค้ชแย่งกันมาก ๆ ฅนนั้นก็มีโอกาสมากกว่า หรือว่าดูจากเวลาตัดต่อออกอากาศก็ได้ ถ้ามีเวลาออกมาก ออกเต็ม มีสัมภาษณ์ทั้งก่อนและหลังก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการเลือกมากกว่า ที่เหลือก็เป็นเรื่องของศักยภาพในการเป็นศิลปินแล้วล่ะครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วบางทีมันก็อาจจะมีพลิกล็อคก็ได้นะ เช่นคู่ของคุณสวย-ปิงปอง ผมดูแล้วก็ว่าใจจริงโค้ชก้องคงตั้งในเลือกคุณปิงปองมากกว่า เพราะเสียงแกมีเอกลักษณ์ เพลงที่เลือก battle ให้ก็เป็นร็อคจ๋า ซึ่งเข้าทางคุณปิงปองมากกว่า แต่พอเวลาแสดงจริง คุณสวยแกตีโจทย์แตกแล้วก็ทำได้โดดเด่นกว่า สุดท้ายโค้ชก้องก็ตัดสินใจเลือกคุณสวยแทน 

ผมก็หวังว่าแนวทางการตัดสินของโค้ชจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะครับ อาจจะมีแอบเชียร์ผู้เข้าแข่งขันบางฅนมากกว่านิดหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่อย่าให้ถึงกับค้านสายตาว่า ฅนนี้ผ่านเข้ามาเพราะว่าหน้าตาดีแต่เสียงไม่ได้เรื่อง เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าเสียดายต้นทุนที่อุตส่าห์ทำมาเสียแย่

สำหรับรอบสุดท้ายก็เป็นเรื่องของการโหวตแล้วละครับ อาจจะทำให้ไม่ต่างจากรายการอื่น ๆ (บางฅนก็บอกว่า รอบนี้คงไม่ดูแล้ว เพราะคงเป็นเรื่องของหน้าตามากกว่าเสียงร้อง) แต่ผมคิดว่า ถ้าผ่านมาถึงรอบนั้น ๆ แล้ว ได้โชว์ความสามารถกันมาขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าใครจะได้ตำแหน่งชนะไปก็ไม่น่าเสียดายแล้วละครับ (อย่างน้าเหน่ง ขนาดตกรอบ battle แฟนคลับแกยังตรึมเลยครับ)

ก็ขอให้ทุกฅนมีความสุขกับการดูรายการนี้นะครับ

เมื่อประมาณต้น ๆ เดือนที่แล้วได้มีโอกาสไปฮันนีมูนที่ประเทศฮ่องกงมาครับ ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ค่อยเหมือนฮันนีมูนจริง ๆ เท่าไหร่เพราะว่าภรรยาไปทำงาน แล้วผมตามไป ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันก็หลังจากเลิกงานน่ะครับ

เรื่องฮันนีมูนก็คงไ่ม่มีอะไรพูดถึงมาก เพราะเขียนคร่าว ๆ ไปแล้วลงอีกบล็อกนึง แต่สำหรับเอนทรีนี้ก็มีเรื่องที่อยากจะเขียนถึงประเทศฮ่องกงสักเล็กน้อยเท่าที่ประสบมา ณ ครับ

อย่างแรกนี่อาจจะไม่เกี่ยวกับฅนฮ่องกงโดยตรง แต่เป็นเรื่องประสบการณ์ส่วนตัวมากกว่า คือว่าปกติเวลาจองโรงแรมนี่ ก่อนหน้านี้ขนาดไป road tour กับเพื่อน ๆ ตอนอยู่อเมริกา แต่แย่ ๆ ห่วย ๆ ยังไงก็จะจองโรงแรมอย่างน้อยสองดาวขึ้นไป สำหรับคราวนี้นี่มีปัญหาเล็กน้อย เนื่องจากว่าภรรยาไปทำงานแล้วก็พักกับทางโรงแรมที่ที่ทำงานจองให้ ซึ่งผมตามไปที่หลัง แล้วก็ไปนอนห้องเดียวกันไม่ได้ด้วยเพราะว่าภรรยานอนกับรุ่นพี่ที่ทำงานอีกฅน

ทางเลือกผมก็มีสองทางครับ หนึ่งคือจองโรงแรมเดียวกัน กับสองคือ จองโรงแรมอื่นใกล้ ๆ กัน

ทางเลือกแรกนี่ผมตัดสินใจไม่เลือก เพราะว่าโรงแรมที่ภรรยาอยู่ก็ค่อนข้างแพง คือคืนละ 13,000 กว่าบาท (จริง ๆ สำหรับเรทของที่นู่นก็ไม่ได้หรูหราเว่อร์ขนาดนั้น แค่่ค่าครองชีพของเขาค่อนข้างแพงอยู่แล้วมากกว่า) ผมเองเนื่องจากว่ากว่าจะตัดสินใจไปจริง ๆ ก็ใกล้มากแล้ว โรงแรมรอบ ๆ ที่ราคาถูกกว่าประมาณครึ่งนึงก็เต็มหมด สุดท้ายที่ได้ก็คือไปจองโรงแรมระดับ 1 ดาวที่ไกลออกมาหน่อย (แต่อยู่ใกล้รถไฟใต้ดิน) ราคาคืนละราว ๆ 2,000 กว่าบาท ซึ่งเท่าที่ดูในเว็บ agoda นี่คือถูกมาก ๆ แบบหาถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว

วันที่ไปถึง สภาพโรงแรมก็ไม่ได้ต่างจากที่คาดเท่าไหร่คือเป็นโรงแรมรูหนูจริง ๆ จะว่าไปไม่น่าเรียกว่าโรงแรม น่าจะเรียกว่า guesthouse จะตรงกว่า เท่าที่ดูน่าจะเป็นธุรกิจทำกันเองในครอบครัว ที่เคาน์เตอร์พูดภาษาอังกฤษได้งู ๆ ปลา ๆ (ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานมากสำหรับฅนฮ่องกง) ผมต้องเอาใบจองให้ดูถึงจะรู้ว่าผมจองห้องนะ ห้องที่ได้ก็เป็นห้องค่อนข้างอับครับ เตียงอย่างเดียวก็เต็มพื้นที่ห้องแล้ว ไม่มี facility อย่างอื่น (ยกเว้นทีวีจ้อเบ้งที่เราดูไม่รู้เรื่องเนื่องจากเป็นภาษาจีน) ดีอยู่อย่างคือน้ำร้อนที่นี่ร้อนสะใจมาก ช่วยให้คลายกล้ามเนื้อได้มาก (ถึงแม้ว่าฮ่องกงจะร้อนกว่าเมืองไทยก็ตาม แต่ตอนกลางคืนอาบน้ำร้อนก็ช่วยได้จริง ๆ)

ที่เจ๋งกว่านั้นคือผมขอกุญแจห้องแล้วเขาไ่่ม่ให้ครับ บอกว่ามีอยู่ชุดเดียว (ฮา) แล้วก็บอกว่า จะออกไปนานแค่ไหน กลับมาดึกดื่นยังไงก็ไม่ต้องห่วง เพราะมีฅนเฝ้า 24 ชั่วโมง ซึ่งก็มีจริง ๆ เพราะคืนถัดมาผมกลับมาตอนตีหนึ่งกว่า ก็มีลูกจ้างนอนบนเตียงผ้าใบหลังเคาน์เตอร์ แล้วเราไปปลุกให้เขามาเปิดประตูห้องให้

ที่เจ๋งที่สุดก็คือว่า เดิมผมก็ไม่ได้คาดหวังว่า โรงแรมระดับนี้จะมีใครมาทำความสะอาดห้องให้หรอกนะครับ แต่พอกลับเข้ามาผมตกใจเลย เพราะนอกจากจะทำเตีียงให้อย่างเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนผ้าเช็ดตัวต่าง ๆ นานาเสร็จ ยังมีการเก็บกระเป๋าให้ผมด้วย! เสื้อผ้าที่ผมวางทิ้งไว้มีฅนพับจัดใส่กระเป๋าอย่างดีเลย (ราวกับว่าเรากำลังจะเช็คเอาท์อย่างนั้น) จนผมต้องทยอยเอาของออกมาวางข้างนอกใหม่ แล้วก็เช็คว่าของยังอยู่ครบดีหรือเปล่า (พวกของสำคัญ ๆ ฝากไว้ที่โรงแรมที่ภรรยาอยู่แล้วครับ)

ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ อาจจะมีโอกาสได้พักอะไรแบบนี้แค่ครั้งเดียวก็ได้ เพราะต่อไปถ้าไปกับภรรยาก็คงไม่จองอะไรประมาณนี้ คงต้องยอมจ่ายมากขึ้นแน่ ๆ แต่มันก็มีข้อดีตรงที่ว่า ปกติแล้ว เวลาไปไหนมาไหน จะรู้สึกเสียดายค่าโรงแรมที่แพง ๆ แต่ใช้ facility ของโรงแรมไม่คุ้ม ครั้งนี้เป็นครั้งแรก (และครั้งเดียว) ที่รู้สึกว่า ใช้โรงแรมแค่เป็นที่นอนนี่ล่ะ ตื่นเช้าก็ตะลอน ๆ ออกไป กลับมาแค่มานอนอย่างเดียวก็พอ คุ้มมาก ๆ (แล้วข้อดีมาก ๆ คือมันเดินทางสะดวกด้วยครับเพราะใกล้รถไฟใต้ดิน

เรื่องที่สอง

ก่อนจะไปถึงฮ่องกง ภรรยาก็โทรกลับมาเล่าให้ฟังว่า บริการของฅนที่นี่ไม่ค่อยดีนะ เหมือนเขาจะไม่ค่อยเต็มใจเวลาเราไปขอความช่วยเหลือเท่าไหร่ พอผมไปถึงก็พอเข้าใจว่าหมายความว่าไงครับ คือที่นี่จะมีลักษณะวิธีการพูดที่สั้น ๆ ห้วน ๆ ไม่ค่อยมีหางเสียง (ไม่รู้ว่าเป็นลักษณะของภาษาจีนด้วยหรือเปล่าที่ฟังแล้วจะฟีลประมาณนี้) ผมจำได้ว่าตอนที่ถามเรื่องไฟลท์บินว่าขอเป็นวันนี้ ๆ ได้ไหม อีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ต็อกแต็กไป แล้วตอบกลับมาสั้น ๆ ห้วน ๆ คำเดียวว่า “full” (คือถ้าเป็นฅนไทยคงชินมากกว่าที่พนักงานจะมองหน้าเราเวลาคุยด้วย หรือพูดด้วยประโยคที่ยาว ๆ กว่านี้) แม้กระทั่งตอนไปที่ดิสนีย์แลนด์ เวลาพนักงานเดินมาบริการอะไรก็จะหน้านิ่ง ๆ (หรือหน้าเป็นตูด) ครับ ไม่ค่อยยิ้มแย้มทักทายโอภาปราศรัยเท่าไหร่ (แต่ถ้าเป็นนักแสดงอะไรนี่ จะยิ้มแย้มมืออาชีพกันดีเดียว)

แต่ที่ประทับใจก็คือวันก่อนวันกลับครับ ตอนนั้นเดินหาโรงแรมให้กับเพื่อน ก็เดินไปถามคุณลุงที่เหมือนจะเป็น doorman ที่พักแห่งหนึ่ง คุณลุงก็พูดภาษาอังกฤษไม่ถนัดนะฮะ แต่เรียกพรรคพวกมาเพียบเลยมาช่วยกันตอบคำถามของเรา (เรียกฅนนั้นฅนนี้มาจนเราเกรงใจ) ข้อสรุปของผมก็คือ ท่าทางฅนที่นี่จะห้วน ๆ แข็ง ๆ แต่บางครั้งเราก็ได้ความช่วยเหลือเต็มที่เหมือนกัน

เรื่องสุดท้ายที่ประทับใจ

ก็คงเป็นเรื่องของรถใต้ดินครับ ค่าครองชีพที่นี่จะค่อนข้างแพง (อาหารเย็นกินไม่ต่ำกว่า 300 บาทนี่ิเป็นเรื่องปกติ) แต่สำหรับค่ารถไฟใต้ดินนี่จะถูกมากครับ คือเริ่มต้นแค่ 20 บาท แล้วของผมนั่งจากที่พักไปที่ที่ภรรยาอยู่คือไม่ถึง 40 บาท เรียกได้ว่านับไปนับมาแล้วเผลอ ๆ จะถูกกว่ารถไฟใต้ดินบ้านเราอีก ที่สำคัญคือรถไฟใต้ดินที่นี่ชอนไชไปทั่วครับ สะดวกมาก ๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน กางแผนที่แล้วรถไฟใต้ดินก็จะไปถึงได้ทั่วทั้งเกาะเลย แถมยังมีรถไฟข้ามระหว่างเกาะโดยไม่ต้องนั่งเรืออีก ผู้โดยสารก็เยอะมาก ขนาดจะเที่ยงคืนแล้วยังมีฅนขึ้นรถไฟกันเกือบเต็มคันรถเลย

ฝันอยากเห็นเมืองไทยมีรถไฟระบบรางดี ๆ แบบนี้มั่งนะครับ

ปล. ฅนที่นี่เขาไม่ลุกที่นั่งให้เด็กหรือฅนแก่กันเท่าไหร่นะครับ ผมลุกให้เด็กฅนนึง คุณแม่เขานี่พูดขอบคุณผมตั้งแต่นั่งจนถึงเดินออกจากรถไฟเลย

Aside  —  Posted: September 2, 2012 in Travel

กลับมาหลังจากไม่ได้เขียนบล็อกเสียนานมาก จริง ๆ แล้วก็น่าจะเขียนอะไรที่เบา ๆ หน่อยนะครับ

 

ตั้งแต่คราวที่แล้วที่ผมพูดถึงศาสนาคริสต์ ว่าในความเชื่อของเรา พระเยซูได้ถูกตรึงกางเขนและเสียชีวิตโดยรับโทษบาปของเราเรียบร้อยแล้ว นั่นก็หมายความว่า ฅนที่เชื่อในพระเยซู ก็ได้รับชำระบาปไปเรียบร้อย และได้ขึ้นสวรรค์ไปอัตโนมัติ ตอนนั้นก็มีฅนตั้งข้อสงสัยว่า เอ๊ะ แบบนี้แปลว่า ศาสนาไม่ได้บอกให้เราทำความดีงั้นเหรอ (เพราะขึ้นสวรรค์ได้แล้วนี่) จริง ๆ แล้วนี่เป็นประเด็นที่พูดคุยกันบ่อยมากนะครับโดยเฉพาะช่วงที่ผมไปโบสถ์ที่นู่น คำอธิบายก็คือว่า ศาสนาสอนให้เราเป็นฅนดีนี่แหละครับ เพียงแต่บอกว่า ใครที่เชื่อในพระเยซู ก็ควรจะเชื่อในสิ่งที่พระเยซูบอกให้เราทำด้วย (ในทางกลับกัน ก็อาจจะพอพูดได้ว่า ฅนที่ไม่ปฏิบัติตามที่พระเยซูสอน ก็น่าสงสัยว่าเชื่อด้วยใจจริงหรือเชื่อแต่เพียงลมปาก)

 

จะเห็นได้ว่า ผลลัพธ์ ท้ายสุดก็คือ สอนให้เป็นฅนดีนี่แหละครับ แต่การทำดีเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ กับทำดีเพราะซาบซึ้งที่มีฅนช่วยให้เราไปสวรรค์แล้ว ในเชิงแรงจูงใจผมคิดว่ามีความแตกต่างกันนิดหน่อย

 

นี่ก็เป็นมุมมองของคริสต์นะครับ

 

 

 

ส่วนในมุมมองของพุทธมหายาน เท่าที่ผมสัมผัสของชินเนียว เอ็น (ซึ่งเป็นพุทธสายมหายานที่มาจากญี่ปุ่น แต่มีวัดยู่ในเมืองไทยนี่เอง ใครสนใจผมพาไปทัศนศึกษาได้นะครับ) ก็จะมีนิยามเรื่องการทำความดีที่มีจุดเน้นแตกต่างกันนะครับ

 

ของชินเนียว เอ็น ทุกครั้งที่ไปเข้าร่วมพิธี สิ่งที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจนคือศาสนานี้จะเน้นย้ำให้เราทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือฅนอื่น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องอุทิศตัวยิ่งใหญ่อะไรนะครับ แต่แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ยิ้มแย้ม ทักทายให้กัน ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน แค่แสดงความมีน้ำใจต่อกันก็เป็นเรื่องที่ทางวัดสนับสนุนมาก ๆ ให้เราทำแล้ว ในวงเสวนาครั้งหนึ่ง เคยมีฅนตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า ทำไมเราต้องทำเพื่อผู้อื่น (หรือทำให้ผู้อื่นมีความสุขด้วยล่ะ?) แค่ตัวเราเองอย่างเดียวมีความสุขไม่พอหรือ? ฅนที่ตอบคำถามในวงนั้นก็ให้ความเห็นที่น่าสนใจครับ เขาบอกว่า ทำให้ตัวเองมีความสุข เราก็มีความสุขอยู่ฅนเดียว แต่ถ้าทำให้ฅนอื่นมีความสุข เจ้าตัวก็มีความสุข ตัวเราก็มีความสุข กลายเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นกรอบความคิดของมหายาน หรือ ยานลำใหญ่ที่ชัดมากเลยครับ เพราะพุทธสายนี้จะเชื่อในหลักการว่า เราจะเป็นยานลำใหญ่ที่นำพาฅนอื่น ๆ พ้นทุกข์ไปพร้อมเรา

 

ซึ่งแนวความคิดแบบนี้เอง ผมเพิ่งได้เรียนว่ามันมีความพ้องต้องกันกับสำนักคิดประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ที่ยึดถือประโยชน์ของสังคมโดยรวมเป็นเป้าหมายสูงสุด สำนักนี้จะเชื่อในการสอนและขัดเกลาให้ฅนมีความสุขในการช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าฅนมีความคิดเช่นนี้ได้ ก็จะช่วยเหลือให้ฅนอื่นมีความสุข ตัวเองก็มีความสุข กลายเป็น win-win น่ะนะครับ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว แนวคิดแบบนี้ค่อนข้างถูกจริตของผมนะครับ เพราะผมเคยคิดว่า ถ้าจะให้อธิบายว่าเราเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่านี่คือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ผมก็คงใช้เกณฑ์ “ทำให้ผลรวมเป็นคลื่นบวกแบบยั่งยืน”

 

คือผมอธิบายแบบนี้ครับ ผมคิดว่าตัวเราแต่ละฅนเวลาทำอะไรจะมีคลื่นที่แผ่ออกมา ถ้ามีความสุขก็จะเป็นคลื่นบวก (รวมถึงอารมณ์ด้านบวกอื่น ๆ เช่น สงบ สันติ อิ่ม สบาย ขำ) ถ้ามีความทุกข์ก็จะเป็นคลื่นลบ (รวมถึงอารมณ์ด้านมืดอื่น ๆ เช่น โกรธ อิจฉา หิว เจ็บ) การทำให้เป็นคลื่นบวก นอกจากทำให้อีกฝ่ายมีความสุขแล้ว การทำให้อีกฝ่ายคลายจากความทุกข์ (เช่นทำให้ฅนหยุดทะเลาะกัน) ก็รวมด้วยนะครับ ซึ่งผมคิดว่า ชุดอธิบายแบบนี้มีความยืดหยุ่นพอสมควร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าถามเรื่องกินเหล้า แทนที่จะฟันธงไปเลยว่ากินเหล้าดีหรือไม่ดี แต่ก็กลายเป็นว่าต้องดูปัจจัยอื่นประกอบ

 

ถ้ากินฅนเดียวนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วมีความสุขดี แบบนั้นก็เป็นบวก ส่วน “ผลรวม” หมายถึง รวมคลื่นที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเราที่เกิดกับฅนอื่นด้วย ดังนั้น ถ้ากินเหล้าแล้วไปลวนลามฅนอื่น ตัวเราอาจจะบวก แต่ฅนอื่นกลายเป็นลบ ผลรวมกลายเป็นลบก็ไม่ควรทำ ในขณะที่ “ยั่งยืน” คือมองผลรวมในระยะยาวครับ ดังนั้น ถ้ากินเหล้า แม้จะสุขชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้านานไปเป็นผลเสียกับร่างกายจนฅนอื่นต้องลำบากดูแลเราคงไม่ดีเป็นแน่แท้

 

เพราะงั้นผมคิดว่า หลักการ “ทำผลรวมคลื่นบวกแบบยั่งยืน” แม้จะไม่แยกขาว-ดำขาดชัดเจน แต่ก็พอใช้อธิบายหลายสถานการณ์ได้นะครับ เช่น ควรโกหกดีไหม? ลงโทษโดยการตีได้รึเปล่า?  หรือว่าทำทานมากแค่ไหนถึงจะดี? ซึ่งเอาเข้าจริงแต่ละศาสนาก็คงจะมีคำอธิบายในเรื่องเหล่านี้ในแบบของตนเอง

 

สุดท้าย ผมก็อยากจะลองเชิญชวนให้เราลองมาคิดดูนะครับ ว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำความดีเพื่ออะไร อย่างทางพุทธเถรวาท ก็จะเน้นปฏิบัติธรรมเพื่อลดอัตตาของตนเอง (คือเอามุมมองภายในตัวเองเป็นโจทย์ตั้ง) ของมหายานอาจจะเอาฅนอื่นเป็นตัวตั้ง หรือถ้าเป็นคริสต์ก็เอาพระเจ้าเป็นที่ตั้ง แม้กระทั่งฅนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย ผมคิดว่าการค้นหานิยาม และแรงจูงใจในการทำดีก็จะเป็นประโยชน์แน่ ๆ ครับ เพราะถ้าเรามีคำตอบที่ชัดเจนในใจ เราจะได้ไม่สับสนว่า

 

“เราจะเป็นฅนดีไปเพื่ออะไร (วะ)”

สำหรับเอนทรีที่แล้วเพิ่งพูดเรื่องฝี หรือความเจ็บป่วยทางกายไป เอนทรีนี้ก็เป็นเรื่องเจ็บ ๆ ป่วย ๆ อีกแล้วครับ

 

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมเริ่มมีอาการปวดฟันครับ ตำแหน่งที่ปวดอยู่บริเวณฟันกรามซี่บนด้านซ้าย และไม่ได้ปวดตลอดเวลา แต่จะปวดเวลาเคี้ยวอาหาร และต้องเคี้ยวเป็นบางมุมด้วย ถึงจะรู้สึกเสียวขึ้นมา จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้กระทบกับชีิวิตมากนะครับ แต่ก็รีบไปหาหมอฟัน เพราะแม่เตือนว่า ระวังจะเป็นหนัก เดี๋ยวค่ารักษาจะแพง หมอก็นัดผมได้วันเสาร์ครับ ระหว่างนั้นผมก็แปรงฟันซี่นั้นเน้น ๆ ทุกวัน แล้วก็ซื้อกระจกมาส่องดู พบว่าเนื้อฟันมันเป็นสีเทา

 

เวลาเราฟันผุเนี่ย มันก็จะรู้สึกแย่ ๆ นะครับ เพราะผมก็จะรู้สึกว่าตัวเราเองยังดูแลฟันไม่ดีพอ มันถึงได้ผุได้ แต่พอเจอกับหมอฟันจริง ๆ หมอดูในปากแล้วก็บอกว่า ที่อุดฟันอันเก่าผมมันหลุด แล้วฟันมันก็แตก มันก็เลยเป็นร่องผุลงไป

 

ที่อุดอันเก่านี่มันก็หลายปีแล้วละครับ แล้วเรื่องฟันแตกนี่ก็ไม่แปลกใจเลย เพราะผมชอบเคี้ยวอะไรแข็ง ๆ โดยเฉพาะน้ำแข็ง ก็ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะไม่เคี้ยวน้ำแข็งกร้วม ๆ อีกทีนี้พอมันหลุดแตกเป็นร่องลงไปนี่ แปรงฟันยังไงก็ไม่สะอาดแล้วครับ เอาล่ะ พอมีปัญหาฟันผุลึก ๆ สิ่งที่หมอต้องทำก็คือ x-ray เพื่อดูว่ามันกินไปลึกแค่ไหนครับ เพราะถ้ามันลึกลงไปถึงเส้นประสาท แล้วมันอักเสบ เส้นประสาททั้งเส้นก็จะติดเชื้อไปด้วย รวมไปถึงปลายรากประสาทที่อยู่ลึกเข้าไปในเหงือก เวลารักษาก็ต้องจิ้มลงไปถึงรากประสาทเพื่อดูดหนองออก ที่เรียกกันว่ารักษารากฟัน วิธีนี้ใช้กรณีที่เรายังหนุ่มแน่น และเนื้อฟันยังแข็งอยู่ ใช้เคี้ยวข้าวได้อยู่ครับ แต่วิธีนี้ค่ารักษาแพงมาก รวมหมดทั้งคอร์สก็เป็นหมื่น เพราะงั้นถ้าเป็นฅนแก่ หมอก็จะแนะนำให้ถอนฟันออกมากกว่า เพราะว่าถูกกว่ากันเยอะ ไม่ก่ีร้้อยบาท

 

สำหรบเคสผมนี่ โชคดีครับ เพราะว่ามันยังไม่ถึงเส้นประสาท แต่ว่าก็ฉิวเฉียดทีเดียว จนหมอบ่นว่าน่าจะมาเร็วกว่านี้อีกหน่อย หลังจากนั้นหมอก็กรอฟันครับ (ฉีดยาชาแล้ว) ข้อดีของคุณหึมอท่านนี้ก็คือจะธบายตลอดครับว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตอนที่ x-ray ก็สอนวิธีดูฟิล์มให้ด้วย หลังจากกรอฟันเสร็จแล้ว ก็เอาตะขอเกี่ยวกับขูดสิ่งสกปรกที่อยู่ข้างในออก (ตอนที่ทำอยู่นี่ ได้กลิ่นเน่าอวลขึ้นมาด้วยครับ) แล้วคุณหมอยังเปิดหน้าเราให้ออกมาดูซากสิ่งสกปรกเหล่านั้นด้วย พอทำความสะอาดเสร็จ ก็เอากระจกมาให้เราดูครับว่า รูที่เกิดขึ้นมันใหญ่แค่ไหน ผมเห็นแล้วน่ากลัวติดตามากครับ เพราะมันกินเป็นหลุมใหญ่กินเนื้อที่เกือบหนึ่งในสามของฟันเลย

 

ทีนี้วัสดุอุดฟัน หมอก็ถามว่าจะใช้สีขาวแบบเดิม หรือโลหะอะมัลกัม ถ้าเป็นแบบเดิมข้อดีคือสีเหมือนเนื้อฟัน แต่มันจะไม่ทนทาน ถ้ากัดแรง ๆอีกไม่กี่ปีก็แตก ต้องมาอุดใหม่ ส่วนแบบโลหะก็จะแข็งแรงกว่า แต่สีก็จะไม่เหมือนกับเนื้อฟัน พอดีซี่นี้เป็นฟันกรามอยู่ในปากอยู่แล้ว ผมเลยตัดสินใจใช้โลหะดีกว่า

 

พออุดเสร็จหมอก็เอากระจกมาให้ดูความเรียบร้อยอีกรอบครับ (ยังไม่เคยเจอหมอฅนไหนให้ดูทุกขั้นตอนขนาดนี้เลย) สุดท้ายก็จัดการกับฟันได้เรียบร้อยดี ที่เหลือก็เป็นการอุดรูเล็ก ๆ แล้วก็ขูดหินปูน

 

ต่อไปจะดูแลฟันดี ๆ ไม่ให้ผุได้อีกครับ

 

 

 

จริง ๆ แล้วเพิ่งเล่าเรื่องฝีไปเมื่อไม่นานนี้เองนะครับ จะว่าไปปีนี้ก็ไม่ทราบเป็นอะไร เพราะปีนี้ผมเป็นฝีบ่อยเสียเหลือเกิน นับจากฝีที่ริมฝีปากคราวที่แล้ว ก็เป็นอีกหลายเม็ด ที่แก้มบ้าง ในรูจมูกซ้ายบ้าง แต่อันนั้นกินยาแล้วหายเองบ้าง บีบแตกเองบ้าง ไม่ต้องถึงกับไปโรงพยาบาล

 

แต่ล่าสุดนี่ ต้องไปโรงพยาบาลจริงจังครับ ตอนแรกมันก็แดง แล้วก็คันในรูจมูกข้างขวา ซึ่งคิดว่ามันน่าจะเป็นสิว (แฟนผมก็บอกว่าน่าจะเป็นสิว) แต่อาการมันเริ่มหนักหลังจากที่ไปช่วยน้องชายเคลียร์ห้องใหญ่ครับ

 

วันนั้นน้องโทรมาตอนสองทุ่มกว่า ว่ากำลังเคลียร์ห้อง อยากให้ไปช่วย ผมไปถึงตอนสี่ทุ่มเศษ วันนั้นก็โละการ์ตูนออกหมด โละเสื้อผ้าเก่าออกหมด ขนของออกมานอกห้อง แล้วก็ทำการปัดฝุ่น ล้างมุ้งลวด (โดนบาดด้วย) กวาดพื้น แล้วก็ถูพื้น ซึ่งบอกได้เลยว่าฝุ่นเยอะมากครับ เพราะเรากวาดพื้นกันไปห้ารอบ ถูพื้นไปอีกสี่รอบ มันก็ยังไม่ถึงกับสะอาดดีเท่าไหร่ วันนั้นผมคันในรูจมูกมาก (ทั้ง ๆ ที่ใส่หน้ากากแล้ว)

 

ที่แย่กว่านั้นคือ เราทำกันถึงเช้า ผมเข้านอนตอนหกโมงเช้า ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาแฟนก็โทรปลุกให้ไปคณะ…เพราะงั้นมันก็ครบสูตรครับ ทั้งสกปรกทั้งนอนไม่พอ ตอนนั้นฝีปูดขึ้นมาในโพรงจมูกเห็นชัดแล้ว (เนื่องจากมันอยู่ในจมูก เลยไม่รู้จะเอากอเอี๊ยะแปะเข้าไปแบบที่เพื่อน ๆ แนะนำคราวที่แล้วยังไง)

 

หลังจากนั้นผมก็พยายามบีบออกครับ จนเหมือนมันจะแตกออกมา แต่ก็ยังบวมอยู่ ซึ่งก็พยายามซื้อยามาทานครับ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหาหมอ (นับจากเร่ิมเจ็บประมาณ 5 วัน นับจากเร่ิมผูดประมาณ 3 วัน) ซ่ึ่งที่ไปก็ด้วยสาเหตุ 3 ประการ

 

หนึ่งคือมันปวดมากครับ จากนอกจากเจ็บในจมูก มันเร่ิมปวดลามมาที่ข้างแก้ม แล้วก็ปวดลามมาที่เหงือกจนเคี้ยวข้าวไม่ได้ เวลาปวดนี่เจ็บจนน้ำตาไหลพราก ๆ เลยครับ ต้องทานยาแก้ปวด แถมต่อมน้ำเหลืองที่คอก็โต สองคือไข้ขึ้นครับ โดยเฉพาะตอนกลางคืนนี่ทรมานมาก ทั้งปวดทั้งมีไข้ ถ้าไม่ทานยานี่ทรมานจนนอนไม่หลับ ตอนกลางวันก็ทำอะไรไม่ได้ครับ ได้แต่ทานยาแล้วก็นอนพัก สามคือมันบวมมากจนหน้าเร่ิมเบี้ยวครับ เวลายิ้มยกมุมปากได้แค่ฝั่งเดียว อีกฝั่งยกไม่ขึ้น (ฐิงบอกว่าหน้าโย้ไปข้างนึงเลย)

 

สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหาหมอครับ แรกเริ่มเดิมทีไปหาหมอผิวหนังที่ดูเรื่องฝีให้ที่บ้านแฟน (คล้าย ๆ เจ้าประจำ) ตอนแรกหมอเห็นแผลในจมูกตื้น ๆ ก็บอกว่าไม่ใช่ฝี แต่เป็น impetigo แล้วก็จะสั่งยา Avelox ให้ แต่พอหมอทราบว่าผมปวดมากจนนอนไม่หลับก็เลยเอะใจ คราวนี้จับขึ้นเตียงแล้วส่องในรูจมูกเป็นเรื่องเป็นราว พบว่าเป็นฝีจริง ๆ ด้วยแถมหัวแตกแล้ว แต่แตกไม่หมด ซึ่งหมอก็บ่นว่าทนเข้าไปได้ไงเพราะเป็นฝีตรงนี้จะเจ็บมาก เพราะเส้นประสาทมันเยอะ จากนั้นหมอก็ทำความสะอาด เอาสำลีพันปลายไม้ชุบน้ำเกลือมาเช็ดคราบหนอง เลือด แล้วก็เศษผิวหนังที่ลอกออกแล้วหมักหมมกัน (เห็นหมอเรียกรวม ๆ ว่า crust) โหย ตอนที่หมอกดไปบนแผลลึก ๆ แล้วเจ็บจนร้องไห้น้ำตาไหลพราก ๆ เลยครับ แล้วก็คิดว่า ทำไมเราเป็นฝี ไม่เป็นที่แขนขาเหมือนชาวบ้านปกติธรรมดาบ้างหว่า เป็นที่ก้นงี้ ที่ริมฝีปากงี้ ในจมูกงี้ แปลก ๆ ทั้งนั้น (แถมเจ็บมากด้วย)

 

จากนั้นหมอก็ยัดสำลีเข้าไปในรูจมูกเพื่อเดรนเลือดกับหนองออกมาครับ ซึ่งพอกลับมาถึง นอนไปตื่นหนึ่ง สำลีก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดและหนอง หลังจากนั้นมา ทุกวันก็ต้องให้แฟนเช็ดในโพรงจมูกให้ เพราะมันเจ็บมาก ไม่มีปัญญาเช็ดเอง (แฟนบอกว่าเห็นเป็นหลุมลึกลงไปเลย) ผ่านไปอีกสองวัน แผลเร่ิมดีขึ้นครับ ไม่มีหนองไหลออกมาแล้ว เช็ดออกมามีแต่เลือดสด ๆ ผมเองก็ไม่มีไข้แล้ว แต่กลายเป็นว่า เนื้อในปากส่วนที่ติดกับพื้นจมูกมันปูดเข้ามาในปากครับ แล้วก็ปวดมากจนแปรงฟันไม่ได้ พอไปหาหมออีกรอบ หมอก็บอกว่า เนื้อในโพรงจมูกมันเป็นเนื้อเยื่ออ่อน พอเป็นหนอง หนองมันก็เซาะลงมาเรื่อย ๆ (ตามแรงโน้มถ่วง) เพราะมันไหลย้อนขึ้นออกมาทางจมูกไม่ได้ จนตอนนี้มันจะทะลุไปถึงเหงือกแล้ว

 

จากนั้นผมก็ถูกส่งตัวไปหาหมอหูคอจมูกครับ หมอเห็นแล้วก็จับผมเข้าห้องผ่าตัดเพื่อผ่าออก เพราะมันบวมมากไม่ไหวแล้ว กินยาอย่างเดียวเอาไม่อยู่ ผมเปลี่ยนเป็นชุดคนไข้แล้วก็ขึ้นนอนบนเตียง แล้วก็มีผ้ามาพัน ๆ ตัวไว้จนขยับไม่ได้ หลังจากนั้นหมอก็เปิดปากผมออก ฉีกยาชา แล้วก็เอามีดกรีดไปท่ี่ปากด้านในเพื่อให้หนองออกมา ไม่ใช่แค่นั้น ยังต้องเอาเหล็กมาขูด ๆๆๆ เมือกกับหนองออกอีก จากนั้นก็เย็บปิดหน่อยนึงแต่ต้องปล่อยช่องไว้เพื่อใหหนองมันไหลออกมา แล้วก็ให้ผมกลับบ้านได้

 

มาถึงบ้าน ตอนที่ยาชาหมดฤทธิ์นี่ทรมานมากครับ มันเจ็บมากจนเดินเกือบไม่ได้ ข้าวก็กินได้แต่ข้าวต้ม แต่ดีอยู่อย่างที่เลือดไม่ออกมากเหมือนเวลาไปถอนฟัน แต่หลังจากกรีดหนองออกก็ดีขึ้นมากครับ พอหนองมันไหลออกมาเยอะ ๆ ก็ไปบ้วนออกสักที (หน้าตาก็คล้าย ๆ เสมหะแต่รสประหลาดนิดหน่อย) ยังบวมอยู่หน่อยแต่หายปวดไปเยอะ หมอจัดยามาให้อีกชุดครับ เป็น Amoxi/Clav ส่วนเชื้อที่ตรวจก็พบว่าเป็น S. aureus หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ

 

พออาการดีขึ้นนี่ก็เอาอีกครับ วันที่หายปวดปุ๊บรุ่งขึ้นก็ไปทำความสะอาดหอเลย เพราะใกล้เปิดเทอมต้องย้ายไปหอแล้ว นี่ก็ฝุ่นเพียบเลย ยังไม่พอ ช่วงนี้ซ่อมบ้านก็ทำความสะอาดทุกวัน ก็เจอฝุ่นไม่ใช่น้อย ตอนนี้ก็เริ่มเจ็บ ๆ ในจมูกอีกรอบแล้ว ก็เลยต้องรีบไปหาหมอ แล้วก็ได้มาทั้งยาทานและยากิน

 

 

ก็หวังว่าจะหายในเร็ววันนะครับ